Free Hosting

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โปรแกรมสร้างเว็บไซต์ เลือกตัวไหนดี?

แนะนำการเลือกโปรแกรมสร้างเว็บไซต์หรือ CMS เช่น Joomla, WordPress, Blogger, SMF โดยเฉพาะทำเว็บเพื่อหาเงินออนไลน์ จะเลือกอะไรดีนะ??
 การสร้างเว็บไซต์ในปัจจุบันเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเป็นช่องทางสร้างรายได้ เป็นแหล่งทำเงิน เว็บไซต์ไม่ได้มีหน้าที่ไว้เผยแพร่ข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่สามารถเปิดเป็นร้านค้าออ นไลน์ก็ได้เป็นนายหน้าขายสินค้า (Affiliate) หรือทำเว็บไซต์หาเงินจากการคลิกป้ายโฆษณา ฯลฯ การสร้างเว็บไซต์จะมีโปรแกรมสำเร็จรูปหรือ CMS ให้เลือกหลายโปรแกรม แต่ละตัวจะมี ข้อดีข้อเสียการนำไปใช้งานต่างกันไป หากเรารู้จักโปรแกรมเหล่านี้ดีแล้ว ก็จะสามารถเลือกใช้งานโปรแกรมสร้างเว็บไซต์เหล่านี้ได้ตรงตามที่เราต้องการ

ตัวอย่างเว็บไซต์เป็นนายหน้าขายสินค้าให้ amazon.com
ตัวอย่างโปรแกรมสร้างเว็บไซต์แบบต่างๆ 
การใช้งานฟรีเว็บไซต์หรือฟรีบล็อก
สำหรับผู้ที่เน้นของฟรี ก็มีโปรแกรมสร้างเว็บไซต์หรือเว็บบล็อกดีๆ อย่าง Blogger.com, WordPress และบล็อกฟรีอีกมากมายให้เลือกใช้บริการ ข้อดีก็คือฟรี และใช้งานง่าย แต่อย่าทำผิด กฏหรือการทำเว็บไซต์เพื่อเน้นการค้ามากเกินไป ก็อาจจะถูกลบออกไป หากทำธุรกิจที่ค่อนข้างเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ควรจะเสี่ยงมาใช้ของฟรี เพราะหากถูกลบเมื่อใด ข้อมูลก็หายไปทั้งหมด
1. ตัวอย่างการใช้งาน Blogger เพื่อทำเว็บบล็อกให้ความรู้
2. ตัวอย่างเว็บบล็อก Blogger สร้างรายได้จากป้ายโฆษณา
3. ตัวอย่างการใช้เว็บบล็อก WordPress.com ทำเว็บบล็อกแนะนำร้านของตนเอง
การใช้งานเว็บบล็อกฟรี โดยเฉพาะ blogger.com นั้น รองรับการนำไปใช้งานหลายอย่าง แนะนำร้านค้า ทำบทความให้ความรู้ ขายของ หาเงินออนไลน์จากการคลิกโฆษณา ฯลฯ แต่ก็ ต้องศึกษาก่อนว่าแนวที่เราจะทำนั้น มีอะไรที่ผิดกฏหรือผิดนโยบายการใช้งานหรือไม่ ไม่เช่นนั้นเว็บบล็อกของเราก็จะถูกลบทิ้งไป ข้อมูลก็จะหายไปทั้งหมด หากเป็นเว็บบล็อกที่สร้างขึ้นมา เพื่อหาเงินออนไลน์ รายรับก็จะหายไปทันที หรือแม้แต่ร้านค้าขายสินค้าผ่านบล็อกก็ตาม หรือหากมีข้อมูลจำนวนมาก ก็ไม่ควรใช้งานเว็บบล็อก เพราะเมื่อใดที่มีคนเข้าชมจำนวนมาก ต้อง มีปัญหาแน่นอน

ตัวอย่างเว็บบล็อกฟรีแบบต่างๆ
ตัวอย่างเว็บบล็อกที่ใช้หน้าตาหรือธีมมาตรฐาน ซึ่งดูธรรมดาเรียบง่าย ไม่สวย
ตัวอย่างเว็บบล็อกที่ใช้ธีมแบบติดตั้งเอง ซึ่งมีทั้งฟรีและขายในราคาไม่แพง เพียงเท่านี้ เว็บบล็อกของเราก็จะมีหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว พอสมควร เว็บบล็อกนี้ มีเนื้อหาเยอะมาก มีการวางป้ายโฆษณา ดูแล้วทำเงินต่อเดือน ให้เจ้าของไม่น้อยเลยทีเดียว
การใช้งานเว็บบล็อกจึงไม่เหมาะกับธุรกิจที่มีตัวตน ต้องการความมั่นคง หรือเนื้อหาที่จะพิมพ์ลงในบล็อกต้องไม่มากจนเกินไป หรือเว็บบล็อกได้รับความนิยม มีคนเข้าเยี่ยมชมจำนวน มากโดนปิดแน่นอน
สำหรับเว็บบล็อกฟรี WordPress.com ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เปิดโอกาสให้สร้างเว็บบล็อกของเราเองได้ แต่ไม่เน้นให้ทำเชิงธุรกิจ ส่วนเว็บบล็อกของไทยก็มีไม่น้อยเช่นกันเช่น exteen.com, bloggang.com
สร้างเว็บไซต์หรือเว็บบล็อกด้วย Wordpress
การใช้งานฟรีเว็บไซต์หรือฟรีเว็บบล็อกนั้น อาจจะถูกปิดหรือถูกลบเมื่อใดก็ได้ หากทำธุรกิจเป็นเรื่องเป็นราว ดูแล้วมีความน่าเชื่อถือ หรือข้อมูลค่อนข้างสำคัญ ก็ควรจะลงทุนสร้างเว็บไซต์ ของตนเอง โดยจะมีค่าใช้จ่ายปีละประมาณ 500 บาทขึ้นไป ก็จะมีเว็บไซต์หรือเว็บบล็อกของตนเอง ซึ่งโปรแกรมสร้างเว็บบล็อกสำเร็จรูปอย่าง WordPress ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะ ใช้งานง่าย มือใหม่ฝึกหัดทำเว็บก็สามารถทำเว็บไซต์หรือเว็บบล็อกสวยๆ ได้ในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น ไม่ต้องการเรียนรู้อะไรมากมายนัก
1. ตัวอย่างหน้าตาเว็บไซต์หรือเว็บบล็อกที่สร้างด้วย WordPress แบบต่างๆ เราจะเริ่มต้นด้วยหน้าตามาตรฐาน ที่มาพร้อมกับการติดตั้งในครั้งแรก ซึ่งส่วนใหญ่ไม่นิยมใช้
2. ตัวอย่างเว็บบล็อกสร้างด้วย WordPress หลังจากเปลี่ยนไปใช้ธีมแบบต่างๆ ตามแต่เจ้าของบล็อกจะเลือกใช้งาน
3. การใช้งาน WordPress ค่อนข้างง่าย เพราะไม่ซับซ้อน มือใหม่จึงสามารถเรียนรู้ได้ไม่ยาก อย่างการพิมพ์บทความลงบล็อก หรือใส่ภาพประกอบ หากสามารถใช้โปรแกรมพิมพ์ เอกสารได้ ก็สามารถทำบทความใน WordPress ได้ทันที หน้าตาเว็บไซต์ก็จะสวยตามตามธีมที่ได้เลือกใช้
การทำเว็บไซต์หรือเว็บบล็อกด้วย WordPress นิยมทั้งใช้งานส่วนตัวและเพื่อหาเงินออนไลน์ โดยเฉพาะการหาเงินออนไลน์ ผู้คนทั่วโลกนิยมใช้กันมาก เพราะตอบสนองการใช้งานได้ดี ในเรื่องSEO ช่วยให้การทำเว็บไซต์หาเงินออนไลน์ประสบความสำเร็จเร็วกว่า การใช้โปรแกรม CMA ตัวอื่นๆ หากคิดจะทำเว็บไซต์หรือเว็บบล็อกเพื่อหาเงินออนไลน์ ควรพิจารณา WordPress ก่อน
ตัวอย่างเว็บไซต์สร้างด้วย WordPress เน้นการขายสินค้าให้กับ amazon.com
ตัวอย่างการสร้างเว็บไซต์หาเงินกับการคลิกโฆษณา Google Adsense เป็น เว็บแนะนำกิจกรรมดีๆ ในแต่ละเดือน
สร้างเว็บไซต์ขนาดใหญ่ เนื้อหาซับซ้อน แนะนำ Joomla
เว็บไซต์ขนาดใหญ่ รองรับการจัดการกับบทความในเว็บจำนวนมากๆ เนื้อหามีจำนวนมาก และจำเป็นต้องมีการกลับมาแก้ไขบทความในภายหลัง ก็ขอแนะนำให้สร้างเว็บไซต์ด้วย Joomla จากที่ลองสร้างเว็บไซต์ด้วยโปรแกรมทั้ง 3 แบบคือ เว็บบล็อก Blogger.com Wordpress และ Joomla ในการสร้างเนื้อหาลงเว็บไซต์ตั้ง เว็บบล็อกอย่าง Blogger และ Wordpress มีความง่าย สามารถพิมพ์ๆ บทความลงไปได้เลย ไม่ต้องคิดอะไรมาก ซึ่งเหมาะกับเว็บไซต์ขนาดเล็ก มีเนื้อหาไม่มากนัก ไม่หลากหลาย ไม่มีหมวดหมู่มากมาย เน้นทำแล้วทิ้ง พิมพ์บทความลงไปแล้ว ไม่มีการกลับไปแก้ไขอะไรอีก เพราะการจัดการบทความจะไม่ง่ายนัก

สำหรับ Joomla จะเป็น CMS ที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก รองรับการสร้างเว็บไซต์ทุกขนาด โดยเฉพาะเว็บไซต์ขนาดใหญ่ มีหมวดหมู่มาก มีเนื้อหามาก และเพราะความสามารถในการรองรับ ระบบขนาดใหญ่ ก็กลายเป็นปัญหาสำคัญของ Joomla นั่นก็คือ มีระบบอะไรต่อมิอะไรเยอะเยอะไปหมด ต้องอาศัยเวลาศึกษาส่วนประกอบและความสามารถของโปรแกรมให้เข้าใจอย่าง มากจึงจะสามารถนำไปประยุกต์สร้างเว็บไซต์ได้สารพัดตามใจต้องการ

ตัวอย่างเว็บไซต์แบบต่างๆ ที่สร้างด้วย Joomla
  siamebook.comมีบทความเกือบ 4000 เรื่อง มีหมวดหมู่ย่อยๆ ร้อยกว่าหมวดหมู่ แต่ทุกอย่างก็อยู่ในเว็บเดียวร่วมกันได้ การบริหารจัดการยังสามารถทำได้สบาย แม้เนื้อหาและส่วนที่ ต้องปรับแต่งจะค่อนข้างมากก็ตาม การใช้งานโมดูลจะช่วยให้เราสามารถซ่อนเนื้อหาที่ไม่ต้องการให้แสดงได้ เช่น เมื่อเข้าไปในหมวดหมู่เกี่ยวกับการทำเว็บไซต์ และการสร้างเว็บบอร์ดด้วย SMF 2.0 เราก็สามารถซ่อนหมวดหมู่หลักๆ ก่อนหน้านั้นประมาณ 20 กว่าหมวดได้ ไม่ให้มาแสดงเกะกะหน้าจอ แต่จะเสียเวลาคลิกเข้าไปหลายชั้น ซึ่งไม่เป็นเรื่องดีนัก ไม่ควรเกินชั้นเดียว เพื่อให้ผู้เช้าชมได้เห็นบทความที่ต้องการเร็วที่สุด อำนวยความสะดวกให้เต็มที่
ยังไม่เจอบทความที่ต้องการ การสร้างเว็บด้วย Joomla ที่มีหมวดหมู่หลายระดับขนาดนี้ไม่ควรทำ เพราะผู้อ่านไม่สะดวกอย่างยิ่ง ข้อมูลอยู่ลึกเกินไป
ตัวอย่างหมวดหมู่แค่ระดับเดียว คลิกเมนูที่ต้องการก็เจอบทความ แสดงออกมาด้านขวามือทันที ผู้อ่านไม่เสียเวลา ค้นหาบทความที่ต้องการได้เร็วกว่า
เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ที่สร้างด้วย WordPress ซึ่งเว็บนี้มีการแยกเป็น Subdomain หรือเว็บย่อยๆ ติดตั้ง WordPress ลงไปทั้งหมด 17 ชุดด้วยกัน เพื่อจัดการกับข้อมูล บทความแต่ละ หมวดหมู่แยกกัน เพราะหากสร้างหมวดหมู่ไว้รวมกันเป็นเว็บเดียวเหมือน Joomla คงไม่ไหว จัดการลำบาก คนอ่านก็ลำบาก กว่าจะค้นหาเจอเรื่องที่ตัวเองต้องการ

นอกจากนี้ ก็ยังมีปัญหาในการแสดงผลกรณีมีคนค้นหาผ่าน Google อีกด้วย เพราะเว็บที่สร้างด้วย WordPress มันจะแซงอยู่ในอันดับแรกๆ ได้เร็วกว่า Joomla จึงไม่เหมาะสำหรับการทำ เว็บเพื่อการค้า หรือหาเงินออนไลน์ แต่เหมาะสำหรับทำเว็บสำหรับหน่วยงานราชการ หรือองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร เพราะไม่ต้องเหนื่อยกับการจัดการ เนื่องจากการสร้าง subdomain มาก ถึง 17 ตัว เวลาที่โปรแกรม WordPress มีการอัพเดทก็ต้องมาไล่อัพเดททั้ง 17 ตัวพร้อมกัน เหนื่อยกว่ามาก
การใช้ Subdomain มากๆ ใน WordPress ก็ยังมีข้อเสียตรงที่ Google จะมองว่า การมี subdomain ก็เหมือนมีเว็บใหม่ 1 เว็บ การอัพเดทบทความก็ต้องทำให้บ่อย เว็บละ 1 บทความ มี 17 subdomain ก็ต้องพยายามอัพเดทบ่อยๆ ซึ่งเหนื่อยมาก ไม่เช่นนั้นการจัดอันดับก็ไม่อยู่หน้าแรก หากเว็บไม่มีการอัพเดทบ่อยๆ แต่การใช้งาน Joomla แม้จะมีหลายหมวดหมู่ แต่ก็คือ เว็บเพียงเว็บเดียว อาจจะมีการอัพเดทบทความวันละบทความ แต่ Google ก็จะมองว่า เว็บมีการเคลื่อนไหว จะให้ความสำคัญ สรุปแล้ว เราจะไม่เหนื่อยในการทำบทความมากนัก เว็บนี้มี ทั้งหมด 16 Subdomain และเว็บหนึ่งอีก 1 โดเมน ซึ่งต้องติดตั้ง Joomla แยกกัน ทำให้ต้องเสียเวลาปรับแต่งถึง 17 ชุดด้วยกัน ในขณะที่การใช้ Joomla จะใช้แค่เว็บเดียวก็พอแล้ว เพราะหมวดหมู่ไม่ซับซ้อนแค่ 1-2 ระดับแค่นั้น
การใช้ Joomla ทำเว็บไซต์เพื่อการค้าหรือหาเงินออนไลน์
กรณีที่ต้องการใช้ Joomla ทำเว็บไซต์เพื่อการค้า หรือหาเงินออนไลน์ จึงต้องให้ความสำคัญกับหมวดหมู่ ไม่ควรเกิน 2 ระดับ เพื่อไม่ให้ซับซ้อนเกินไป ระดับแรกจะมี บทความ เป็น หมวดหมู่หลัก และระดับที่ 2 จะเป็นหมวดหมู่ย่อยภายในหมวดหมู่ บทความ
1. ตัวอย่างหมวดหมู่ไม่เกิน 2 ระดับ ในเว็บไซต์ varietydd.com รวมบทความวาไรตี้ ซึ่งเน้นการสร้างเว็บไซต์เพื่อหาเงินกับ Google Adsense เมื่อคลิกหมวดหมู่ต่างๆ เช่น กล้อง ถ่ายภาพ จะพบกับบทความทันที และจะเห็นว่า โฆษณาที่ส่งมาแสดงจะเป็นเรื่องกล้อง
2. ในขณะที่หมวดหมู่ กู้เงิน จำนำ จำนอง สินเชื่อ ก็จะเป็นโฆษณาเกี่ยวกับสินเชื่อ โฆษณาที่ส่งมาค่อนข้างตรงกับเรื่องที่เราทำ
3. ในขณะเดียวกัน ก็จะเห็นว่า เราสามารถทำแบนเนอร์วางโฆษณาเกี่ยวกับการจำนำรถไว้ด้านขวามือ ได้อย่างอิสระ ซึ่งจะแสดงแบนเนอร์นี้เฉพาะเมื่อคลิกเมนู กู้เงิน จำนำ จำนอง สินเชื่อ เท่านั้น การทำเว็บไซต์แบบนี้ WordPress ไม่สามารถทำได้ ต้องทำแยกเป็นซับโดเมน
บทสรุปการเลือก CMS เพื่อทำเว็บไซต์ประเภทสร้างเนื้อหา
หากเป็นการศึกษาการใช้งานโปรแกรมสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปโดยเน้นการสร้างเว็บไซต์เพื่อใช้งานกับองค์กร เว็บไซต์โรงเรียน หรือหน่วยงานขนาดใหญ่ ควรจะศึกษา Joomla เพราะเหมาะ กับงานดังกล่าวมากที่สุด
ส่วนเว็บบล็อกฟรีหรือ WordPress มีความง่ายพอๆ กัน เหมาะกับงานที่ไม่ซับซ้อน แต่หากต้องการความมั่นคง ก็ต้องจดโดเมนเช่าพื้นที่ทำเว็บไซต์เอง แล้วติดตั้ง WordPress เป็นเว็บไซ ต์หลัก ตัวอย่างเว็บไซต์ calendarpin.com สร้างด้วย WordPress
หากเนื้อหาไม่สำคัญจะโดนลบทิ้งวันไหนก็ไม่ใส่ใจ คนเข้าชมเว็บไซต์ไม่มากนัก ก็ใช้บล็อกฟรีอย่าง Blogger.com ไม่มีค่าใช้จ่าย ขอเพียงอย่าทำผิดกฏเท่านั้น ก็ไม่ถูกลบแน่นอน
ส่วนการทำเว็บไซต์เพื่อหาเงินออนไลน์ หากเนื้อหาไม่ซับซ้อนมากนัก ดังตัวอย่างเว็บไซต์ varietydd.com ที่ได้ยกตัวอย่างไปข้างบน ก็เหมาะที่จะใช้ Joomla เพราะเราสามารถปรับแต่ง เพียงเว็บเดียวให้แสดงผลได้ตามต้องการ แยกกันอย่างเป็นอิสระ ตัวอย่างเมื่อคลิกเมนู กล้อง ถ่ายภาพ ก็จะแสดงเฉพาะบทความที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แม้แต่แบนเนอร์โฆษณาด้านบนหรือ ด้านล่างก็เช่น กัน
ตัวอย่างเมื่อคลิกเมนู กู้เงิน จำนำ จำนอง สินเชื่อ ก็จะสามารถตั้งค่าให้แสดงเฉพาะแบนเนอร์ที่เกี่ยวข้องเช่นกัน เช่น แสดงแบนเนอร์โฆษณาเฉพาะที่เกี่ยวกับการกู้เงิน สินเชื่อ ดังภาพ
กรณีนี้หากสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress ก็ต้องทำ Subdomain สถานเดียว ซึ่งหมวดหมู่ในเว็บไซต์ varietydd.com นั้นมีมากถึง 21 หมวดก็ต้องสร้าง subdomain มากถึง 21 ตัว เวลาอัพ เดททีก็ต้องทำทุกตัว บทความก็ต้องทำแยกกัน เพราะพวก Search Engine อย่าง Google, Yahoo หรือ Bing จะมองว่าแต่ละ Subdomain เป็นคนละเว็บไซต์นั่นเอง เหนื่อยมากกว่า
สำหรับการเลือกโปรแกรมสำเร็จรูปหรือ CMS เพื่อสร้างเว็บไซต์ก็คิดว่าผู้อ่านพอจะมองภาพออกแล้วนะครับว่าจะเลือกตัวไหน เพราะตัวที่นิยมกันมากๆ ก็มีแค่ Blooger.com, WordPress และ
Joomla ส่วนตัวอื่นๆ นั้น ไม่แนะนำ เพราะคนไม่นิยม อะไรที่คนไม่นิยม เวลามีปัญหา ก็หาคนช่วยลำบาก หากเป็นการทำเว็บไซต์เพื่อองค์กร หน่วยงาน คนทำก็จะต้องรับผิดชอบอยู่คน เดียวเก่งอยู่คนเดียวก็เป็นเบ๊ โดยใช้งานทุกอย่าง 555
สร้างเว็บไซต์สไตล์เว็บบอร์ด
การสร้างเว็บไซต์ด้วย CMS อย่าง Joomla, WordPress หรือ Blogger นั้น เจ้าของเว็บไซต์จะเป็นผู้สร้างเนื้อหาคนเดียวหรืออาจจะจ้างคนมาช่วย กรณีทำคนเดียวก็จะมีขีดจำกัดในการทำงาน ไม่สามารถสร้างเว็บไซต์ขนาดใหญ่ได้ เพราะไม่มีทางที่จะเขียนบทความจำนวนมากๆ ได้ แต่การใช้งานเว็บบอร์ด ซึ่งเน้นให้ทุกคนมาร่วมกันแสดงความคิดเห็น ก็จะเป็นการสร้างเนื้อหาลง ในเว็บไซต์ที่ทำได้เร็วกว่า ยิ่งคนเข้าเยี่ยมชมจำนวนมากๆ ก็ยิ่งทำให้มีบทความ มีเนื้อหาในเว็บไซต์จำนวนมาก
ตัวอย่างเว็บบอร์ดเกี่ยวกับชมรมรถยนต์ Liteace มีผู้มาลงประกาศหรือร่วมแสดงความคิดเห็น เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ที่เหล่าสมาชิกมาช่วยกันสร้างขึ้นมา เจ้าของเว็บบอร์ดก็ไม่เหนื่อย ในการสร้างบทความมากนัก
ตัวอย่างการใช้เว็บบอร์ด SMF ให้สมาชิกมาลงประกาศขายสินค้า ก็จะมีเนื้อหา มีบทความลงประกาศจำนวนมาก หากเราต้องไปหาประกาศมาลงเองคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ที่แนะนำตัวนี้เพราะความเรียบง่าย ไม่กินกำลังเซิร์ฟเวอร์มากนัก การเช่าพื้นที่ทำเว็บไซต์กับเว็บบอร์ดจะไม่เหมือนกัน ถ้าจะทำเว็บบอร์ดก่อนเลือกผู้ให้บริการเช่าพื้นที่ต้องสอบถามกัน ก่อน ว่าจะรองรับหรือไม่ เอาอยู่มั๊ย เพราะเว็บบอร์ดกินกำลังเครื่องเซิร์ฟเวอร์มากกว่าเว็บไซต์
รวมๆ แล้วใช้งานได้ดีเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมีเว็บบอร์ดไว้ใช้ในกลุ่มสมาชิก ชมรม ลูกเล่นอาจจะน้อย แต่ปัญหาที่ตามมาก็น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องของแสปมที่มาก่อกวน มา สมัครเป็นสมาชิก มาโพสต์ข้อความลามก โฆษณา ก่อกวน หรือแม้แต่ยึดเอาบอร์ดไปเลยก็มี
ลองดูตัวอย่างการสมัครสมาชิกเว็บบอร์ดก็แล้วกันครับ ใน หน้าเว็บสำหรับสมัครสมาชิกเว็บบอร์ด SMF 2.0 ผมชอบตัวป้องกันแสปมและชาวต่างชาติที่พยายามมาสมัครเพื่อหวังโพสต์ ข้อความโฆษณาต่างๆ หรือใช้บอร์ดของเราในทางมิชอบ เจอคำถามแบบนี้ เสร็จ สมัครสมาชิกไม่ผ่าน ถ้าไม่มีตัวป้องกันแบบนี้ จะมีชาวต่างชาติมาสมัครเยอะมาก เสียเวลาลบ และขืน ปล่อยให้เข้าบอร์ดละเป็นเรื่อง โพสต์ข้อความเต็มบอร์ดไปหมด หากเป็นเรื่องผิดกฏหมาย เจ้าของเว็บบอร์ดก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน
ข้อมูลในปัจจุบันเปรียบได้ดั่งเงินทองเชียวนะ
โลกอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน ข้อมูลเป็นของมีค่า และทำเงินให้เราได้ ใครมีข้อมูล มีเนื้อหา มีบทความดีๆ มากกว่า คนนั้นมีโอกาสทำเงินมากกว่า โปรแกรมทำเว็บไซต์เหล่านี้จะมีประโยชน์ อย่างมากในการแสดงข้อมูลหรือเนื้อหาหรือบทความดีๆ ที่เรามีอยู่ การเลือกโปรแกรมสร้างเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลไปยังสาธารณชน จึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานด้าน วิชาการทั้งหลาย ครู อาจารย์ วิทยากร นักวิชาการ หรือแม้แต่นักเรียน นักศึกษาก็ตาม หากมีข้อมูลดีๆ อาจจะเป็นบทความทางวิชาการ เนื้อหาที่เตรียมการสอน หรือบันทึกที่จดไว้ระหว่าง การอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ อย่าให้ข้อมูลนั้นๆ อยู่ในลิ้นชักหรือชั้นวางเอกสารหรือตู้เอกสาร แต่จงเอามาใส่ในเว็บไซต์ เพราะข้อมูลดีๆ ยิ่งมีมาก ก็เหมือนการสะสมทรัพย์ เอาเงินไป ฝากธนาคารไว้นั่นเอง แต่ต้องสมัครเป็นสมาชิกเว็บไซต์ช่วยหาเงินออนไลน์ เช่น Google Adsense, Yengo, Nipa, Bumq นะครับ เพื่อทำป้ายโฆษณามาติดในเว็บไซต์ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีรายได้นะครับ

เว็บนี้ก็มีรายได้จากป้ายแบนเนอร์โฆษณา ข้างบน 02....
เว็บนี้ก็มีรายได้จากป้ายแบนเนอร์โฆษณา Google Adsense .. หมอนกระดูกทับเส้น และ True... ขวามือ
ตัวอย่างเว็บไซต์ Siamebook.com รวมบทความสอนโปรแกรมต่างๆ เว็บนี้แรกๆ ก็ทำไว้เพื่อทำบทความเพิ่มเติม หวังจะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าที่ซื้อหนังสือไปอ่าน ได้มีข้อมูลเพิ่มเติม เพราะการใช้งานคอมพิวเตอร์ ใช้งาน โปรแกรมต่างๆ นั้นจะมีการอัพเดทตลอดเวลา จึงต้องทำบทความอัพเดทตามไปด้วย ทำมาได้ 11 ปี 7 เดือนแล้ว เพิ่งจะมาคิดหาเงินด้วยการติดตั้งป้ายโฆษณา Google Adsense เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ไม่ได้ทำอย่างจริงจังอะไร แต่ก็มีเงินเข้ามาแล้ว แสนกว่าบาท
ทาง Google ก็จัดส่งเป็นเช็คมาให้ดังภาพ หากผมทำตั้งแต่แรก ก็คงจะทำเงินได้มากกว่านี้ นี่เป็นตัวอย่างของ การใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เรามีอยู่ครับ อย่าเก็บไว้ให้ตู้เอกสารหรือชั้นวางหนังสือ รกเปล่าๆ เอามาเผยแพร่ ก็สามารถสร้างรายได้ให้เราได้ครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น


พื้นที่โฆษณา

Free Hosting

พื้นที่โฆษณา

Free Hosting
 

Copyright © สอนเขียนโปรแกรม html php css Java SQL jQuery XML Ajax Design by ScriptMasterWebDesign | Theme by ScriptMasterWebDesign | Powered by HosTing